Engineering1986 > สาระความรู้ > การเลือกใช้น้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล Generator และ Fire Pump

น้ำมันเครื่อง (Engine Oil) เป็นชนิดหนึ่งของ น้ำมันหล่อลื่น (Lubricant Oil) เป็นสารเคมีที่ใช้สำหรับลดแรงเสียดทานระหว่างพื้นผิวของชิ้นส่วนเครื่องจักรหรือเครื่องยนต์ที่เคลื่อนที่สัมผัสกัน ช่วยลดการสึกหรอและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์ รวมถึงการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดจากการใช้งานระยะยาว หน้าที่หลักของน้ำมันหล่อลื่นมีดังนี้

  1. ลดแรงเสียดทาน: ทำให้พื้นผิวสัมผัสลื่นขึ้น ลดการสึกหรอของชิ้นส่วน
  2. ระบายความร้อน: ช่วยถ่ายเทและลดอุณหภูมิที่เกิดจากการเสียดทานระหว่างชิ้นส่วน
  3. ป้องกันการสึกกร่อนและสนิม: ปกป้องพื้นผิวโลหะจากความชื้นและอากาศที่อาจทำให้เกิดสนิม
  4. ทำความสะอาด: ช่วยชะล้างเศษโลหะ ฝุ่น หรือสิ่งสกปรกที่เกิดจากการเสียดสี

 

น้ำมันหล่อลื่นมีกี่ประเภท เลือกน้ำมันเครื่องมีองค์ประกอบใดบ้างที่ต้องรู้จัก

       น้ำมันหล่อลื่น (Lubricant Oil) มีหลากหลายประเภท หากเป็นประเภทที่ผลิตเพื่อใช้กับเครื่องยนต์หรือเครื่องจักรโดยเฉพาะ ในประเทศไทยจะนิยมเรียกกันว่า น้ำมันเครื่อง (Engine Oil) ซึ่งสามารถแยกประเภทได้หลากหลาย โดย ประเภทของน้ำมันหล่อลื่นสามารถแยกประเภทได้ตาม องค์ประกอบ และ วัตถุประสงค์การใช้งาน โดยปัจจัยสำคัญในการแยกประเภท ได้แก่

  1. วัตถุดิบและกระบวนการผลิต
    • น้ำมันหล่อลื่นบางประเภทใช้วัตถุดิบธรรมชาติ เช่น น้ำมันแร่ (Mineral Oil)
    • บางประเภทใช้กระบวนการสังเคราะห์ทางเคมี เช่น น้ำมันหล่อลื่นสังเคราะห์
  2. คุณสมบัติทางกายภาพและเคมี
    • ความหนืด (Viscosity)
    • จุดวาบไฟ (Flash Point)
    • ความเสถียรต่อความร้อนและการออกซิเดชัน
  3. การใช้งานเฉพาะเจาะจง
    • การหล่อลื่นเครื่องยนต์ทั่วไป
    • การใช้งานในอุตสาหกรรมหนัก หรือสภาพแวดล้อมพิเศษ เช่น อุณหภูมิสูง

โดยลักษณะประเภทสำคัญที่ควรทำความรู้จัก เพื่อเลือกใช้น้ำมันเครื่องได้อย่างเหมาะสม และนิยมใช้ในการสื่อสารของแบรนด์และผลิตภัณฑ์ในประเทศไทย ที่นิยมใช้มีดังนี้

ประเภทของน้ำมันหล่อลื่น

  1. น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน (Base Oil)
    • เป็นน้ำมันหล่อลื่นที่ได้จากการกลั่นน้ำมันดิบโดยตรง
    • ใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตน้ำมันหล่อลื่นประเภทอื่น ๆ
    • แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลักตามมาตรฐาน API:
      • กลุ่ม 1 (Group I): ผ่านกระบวนการกลั่นพื้นฐาน ราคาถูก ใช้สำหรับงานทั่วไป
      • กลุ่ม 2 (Group II): มีความบริสุทธิ์สูงกว่า ใช้ในเครื่องยนต์ที่ต้องการการปกป้องมากขึ้น
      • กลุ่ม 3 (Group III): มีคุณสมบัติใกล้เคียงน้ำมันสังเคราะห์
  1. น้ำมันหล่อลื่นสังเคราะห์ (Synthetic Oil)
    • ผลิตจากกระบวนการทางเคมีที่ควบคุมอย่างละเอียด
    • มีโมเลกุลที่สม่ำเสมอและให้คุณสมบัติที่เหนือกว่าน้ำมันแร่ เช่น
      • ทนต่ออุณหภูมิสูงและต่ำ
      • ลดการสึกหรอ
      • ประหยัดพลังงานและยืดอายุการใช้งาน
    • เหมาะสำหรับเครื่องยนต์สมรรถนะสูง เช่น รถสปอร์ตหรือเครื่องจักรอุตสาหกรรมหนัก
  2. น้ำมันหล่อลื่นกึ่งสังเคราะห์ (Semi-Synthetic Oil)
    • เป็นการผสมน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานและน้ำมันสังเคราะห์ในอัตราส่วนต่าง ๆ
    • ให้คุณสมบัติที่ดีกว่าน้ำมันแร่ แต่ราคาไม่แพงเท่าน้ำมันสังเคราะห์
    • เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น รถยนต์นั่งส่วนบุคคล หรือเครื่องจักรที่ใช้งานปานกลาง
  3. น้ำมันหล่อลื่นสำหรับงานเฉพาะ (Specialty Lubricants)
    • ออกแบบมาเพื่อการใช้งานเฉพาะด้าน เช่น
      • น้ำมันไฮดรอลิก (Hydraulic Oil): สำหรับระบบไฮดรอลิก
      • น้ำมันเกียร์ (Gear Oil): สำหรับเกียร์ในรถยนต์หรือเครื่องจักร
      • น้ำมันหล่อลื่นสำหรับอุณหภูมิสูง: ใช้ในเตาอบหรืออุตสาหกรรมที่มีความร้อนสูง
      • น้ำมันตัดกลึงโลหะ (Metalworking Fluids): ใช้ในกระบวนการตัดและขึ้นรูปโลหะ

นอกจากการเลือกน้ำมันเครื่องตามประเภทที่เหมาะสมแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงคือ เบอร์ความหนืดของน้ำมันเครื่อง เพื่อเลือกให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์ที่ใช้งานในประเภทการใช้งานและภายใต้สภาวะการทำงานที่แตกต่างกัน

การแบ่งประเภทน้ำมันเครื่องตามความหนืดอ้างอิงจากมาตรฐาน SAE (Society of Automotive Engineers) ซึ่งกำหนด ค่าความหนืด (Viscosity) ของน้ำมันเครื่องในสภาพอุณหภูมิที่แตกต่างกัน โดยความหนืดของน้ำมันเครื่องแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก:

  1. น้ำมันเครื่องเกรดเดี่ยว (Single-Grade Oil)
  • มีค่าความหนืดคงที่สำหรับการใช้งานในช่วงอุณหภูมิใดช่วงหนึ่ง
  • แบ่งเป็น 2 กลุ่มย่อย:
    • สำหรับฤดูหนาว: มีตัวอักษร W (Winter) ต่อท้าย เช่น SAE 10W, 20W
      • ออกแบบให้มีความหนืดต่ำในอุณหภูมิต่ำ เพื่อช่วยให้เครื่องยนต์สตาร์ทติดง่าย
      • นิยมใช้ในพื้นที่หนาวเย็น
    • สำหรับฤดูร้อน: ไม่มีตัวอักษร W เช่น SAE 30, SAE 40
      • มีความหนืดสูง เหมาะกับการใช้งานในอุณหภูมิสูง
  1. น้ำมันเครื่องเกรดรวม (Multi-Grade Oil)
  • ออกแบบให้มีค่าความหนืดเปลี่ยนแปลงตามอุณหภูมิ เพื่อใช้งานได้ทั้งในอุณหภูมิสูงและต่ำ
  • มีค่าความหนืด 2 ค่าในชื่อเดียวกัน เช่น SAE 15W-40
    • ตัวเลขด้านหน้า (15W) แสดงค่าความหนืดที่อุณหภูมิต่ำ
      • ยิ่งตัวเลขน้อย ความหนืดที่อุณหภูมิต่ำจะต่ำลง (เหมาะกับการสตาร์ทในฤดูหนาว)
    • ตัวเลขด้านหลัง (40) แสดงค่าความหนืดที่อุณหภูมิสูง
      • ยิ่งตัวเลขสูง น้ำมันยิ่งหนืดในอุณหภูมิสูง (เหมาะกับการปกป้องเครื่องยนต์ในฤดูร้อน)

ตัวอย่างการใช้งานน้ำมันเครื่องแบ่งตามความหนืด

  • SAE 5W-30
    • เหมาะกับสภาพอากาศเย็นหรือการใช้งานทั่วไปในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิหลากหลาย
  • SAE 15W-40 หรือ 20W-50
    • เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลที่ทำงานหนัก เช่น เครื่องยนต์ต้นกำลังแบบใช้งานหนัก เครื่องกำเนิดไฟฟ้า เครื่องยนต์สูบน้ำดับเพลิง หรือรถบรรทุก
    • เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ในเขตร้อน เช่น ประเทศไทย ที่มีอุณหภูมิสูง

ความสำคัญของการเลือกค่าความหนืด

การเลือกน้ำมันเครื่องตามค่าความหนืดที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์มีผลต่อ:

  1. การหล่อลื่น: ช่วยลดการสึกหรอของชิ้นส่วนภายใน
  2. การสตาร์ทเครื่องยนต์: น้ำมันที่มีความหนืดต่ำช่วยให้สตาร์ทง่ายในอุณหภูมิต่ำ
  3. การป้องกันความร้อน: น้ำมันที่มีความหนืดสูงเหมาะสำหรับการใช้งานในอุณหภูมิสูงและการโหลดงานหนัก

ควรเลือกน้ำมันเครื่องตามคำแนะนำในคู่มือของเครื่องยนต์หรือคำแนะนำจากผู้ผลิตเพื่อให้เหมาะสมที่สุดกับสภาพการใช้งาน

การเลือกน้ำมันหล่อลื่นที่เหมาะสมช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ ทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดต้นทุนการบำรุงรักษาได้ ทีมวิศวกรของ Engineering 1986 ที่มีความเชี่ยวชาญในงานบำรุงรักษาเครื่องยนต์ต้นกำลัง สำหรับเครื่อง Generator และ Fire Pump จึงเลือกใช้ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์ใช้งานหนัก ให้เตรียมพร้อมเสมอในสถานการณ์ฉุกเฉิน

การเลือกใช้น้ำมันหล่อลื่นในระบบเครื่องยนต์ เครื่องกำเนิดไฟฟ้า และเครื่องยนต์สูบน้ำดับเพลิง

การเลือกใช้น้ำมันหล่อลื่นที่เหมาะสมสำหรับเครื่องยนต์แต่ละประเภทช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการสึกหรอ และยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ น้ำมันหล่อลื่นที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาในระยะยาวอีกด้วย โดยการพิจารณาคุณสมบัติของน้ำมันที่เหมาะสมและปฏิบัติตามคำแนะนำจากผู้ผลิตเครื่องยนต์เป็นหัวใจสำคัญในการดูแลระบบเครื่องยนต์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

ข้อควรพิจารณาในการเลือกน้ำมันหล่อลื่นนั้นมีหลายปัจจัย ตามประเภทของน้ำมันหล่อลื่นในข้างต้น สำหรับ เครื่องยนต์ เครื่องกำเนิดไฟฟ้า และเครื่องยนต์สูบน้ำดับเพลิง การทำงานเกิดความร้อนสูง และต้องทำงานได้ดีภายใต้สภาวะการทำงานหนัก รวมถึงไม่ได้มีการใช้งานตลอด จึงควรมีความทนทาน และรักษาอายุการใช้งานได้อย่างดี มีปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงดังนี้

  1. ความทนทานต่ออุณหภูมิสูง: เครื่องยนต์เมื่อทำงานต่อเนื่องในสภาวะที่เกิดความร้อนสะสม น้ำมันหล่อลื่นควรมีความหนืดเสถียรและไม่เสื่อมสภาพง่าย
  2. การควบคุมคราบเขม่า: น้ำมันที่เหมาะสมต้องสามารถลดการสะสมของเขม่าที่เกิดจากการเผาไหม้ในเครื่องยนต์ดีเซล
  3. มาตรฐานการรับรอง: ใช้น้ำมันที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน API CI-4 หรือ ACEA E7 เพื่อรองรับการใช้งานที่หนักหน่วง
  4. การเปลี่ยนถ่ายตามชั่วโมงการทำงาน: ตรวจสอบคำแนะนำจากผู้ผลิตเครื่องยนต์เพื่อกำหนดระยะเวลาการเปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่น
  5. ความเสถียรระหว่างการเก็บรักษา: เนื่องจากเครื่องยนต์ในระบบเครื่องสูบน้ำดับเพลิง และเครื่องกำเนิดไฟฟ้าอาจไม่ได้ใช้งานเป็นระยะเวลานาน น้ำมันหล่อลื่นต้องทนต่อการเสื่อมสภาพในระหว่างที่เครื่องยนต์ไม่ได้ทำงาน
  6. ความพร้อมใช้งานทันที: น้ำมันต้องมีความหนืดที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้เครื่องยนต์สตาร์ทได้ง่ายและหล่อลื่นทันที
  7. ป้องกันการกัดกร่อนและสนิม: เพื่อปกป้องชิ้นส่วนเครื่องยนต์ที่อาจสัมผัสกับความชื้น

ความแตกต่างในการเลือกน้ำมันหล่อลื่นระหว่างเครื่องยนต์ทั่วไปและเครื่องยนต์พิเศษ

คุณลักษณะ เครื่องยนต์ทั่วไป เครื่องกำเนิดไฟฟ้า เครื่องยนต์สูบน้ำดับเพลิง
ภาระการใช้งาน ปานกลาง ใช้งานหนัก ใช้งานหนัก
ระยะเวลาการทำงาน สั้น ยาว สั้นภายใต้โหลดสูง
มาตรฐานน้ำมัน API SN หรือสูงกว่า API CI-4 API CI-4
การควบคุมคราบเขม่า ต่ำ สูง สูง
ความเสถียรระหว่างเก็บรักษา ปานกลาง สูง สูง

ทีมงาน Engineering 1986 เลือกใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นคุณภาพสูง เหมาะสมกับการใช้งานของเครื่องยนต์แต่ละประเภท สำหรับเครื่อง Generator และ Fire Pump ที่ต้องทำงานภายใต้สภาวะการทำงานหนัก เพื่อให้เครื่องพร้อมใช้งานตลอดเวลา ลดโอกาสการเกิดการสึกหรอของอะไหล่และชิ้นส่วนเครื่องยนต์ ทางเรามีข้อแนะนำในการเลือกใช้ดังนี้

 

น้ำมันเครื่อง ดีเซล สังเคราะห์แท้ เบอร์ 15w40 ดีอย่างไรสำหรับน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ประเภทการใช้งานหนัก (Heavy Duty)

การเลือกใช้น้ำมันเกรดสังเคราะห์ (Synthetic Oil) แม้ว่าจะมีราคาสูงกว่า แต่ในระยะยาวนั้นให้ความคุ้มค่า ประหยัดมากกว่า เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการเสถียรภาพสูง เช่น เครื่องกำเนิดไฟฟ้า เนื่องจากสามารถทนต่ออุณหภูมิสูงและการทำงานต่อเนื่อง และสามารถเก็บรักษาได้นาน ไม่ต้องเปลี่ยนทุก 6 เดือน โดยสามารถเพิ่มระยะเวลาเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเป็น 1 ปี เพื่อประหยัดงบประมาณและค่าแรงในการซ่อมบำรุงได้มากขึ้น

การเลือกเบอร์ความหนืด (Viscosity) แนะนำ 15W-40 สำหรับ เครื่องยนต์สูบน้ำดับเพลิง และ เครื่องยนต์เครื่องกำเนิดไฟฟ้า มีความเหมาะสมด้วยเหตุผลดังนี้

  • ช่วยให้เครื่องยนต์สตาร์ทติดง่าย เหมาะกับการใช้งานในเขตร้อน เช่น ประเทศไทย ที่มีอุณหภูมิสูง มีความหนืดที่เพียงพอสำหรับการปกป้องเครื่องยนต์ในอุณหภูมิสูงและภาระงานหนัก
  • เหมาะกับเครื่องยนต์ที่ทำงานภายใต้ภาวะการทำงานหนัก (Heavy Duty) สูบน้ำดับเพลิงและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
  • การป้องกันการสึกหรอในอุณหภูมิสูง ในระหว่างการทำงานหนัก เครื่องยนต์จะเกิดความร้อนสูง น้ำมันเบอร์ 15W-40 สามารถรักษาความหนืดไว้ได้ดีในอุณหภูมิสูง ซึ่งช่วย ป้องกันการสึกหรอของชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ และรักษาชั้นฟิล์มน้ำมัน (Oil Film) บนผิวโลหะ เพื่อป้องกันการเสียดสี

 

การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามกำหนด หัวใจสำคัญในการบำรุงรักษาเครื่องยนต์

การเปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่นขึ้นอยู่กับ ประเภทของเครื่องยนต์ และ เงื่อนไขการใช้งาน โดยมีสองปัจจัยหลักที่ใช้กำหนดคือ ระยะเวลา (เดือน) และ ชั่วโมงการทำงานของเครื่องยนต์

  1. กำหนดการเปลี่ยนถ่ายตามประเภทน้ำมันเครื่อง

น้ำมันเครื่องที่เลือกใช้ มีเกรดและราคาที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการในการใช้งาน และความเหมาะสมต่อสภาพการใช้งาน

  • น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi-Synthetic Oil) ควรเปลี่ยนถ่ายทุกระยะเวลา 6 เดือน หรือ 250-300 ชั่วโมงการทำงาน
  • น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Synthetic Oil) สามารถยืดระยะเวลาเป็น 12 เดือน หรือ 500-600 ชั่วโมงการทำงาน

เนื่องจากเครื่องยนต์สำหรับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generator) และ Fire Pump เป็นเครื่องสำหรับการใช้งานในสภาวะฉุกเฉิน และภายใต้การใช้งานหนัก ทาง Engineering 1986 วิศวกรผู้เชี่ยวชาญงานบำรุงรักษาเครื่องยนต์มามากกว่า 10 ปี เราแนะนำเป็น น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Synthetic Oil) เพื่อประหยัดเวลาและลดจำนวนครั้งในการบำรุงรักษาเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูง และเก็บรักษาได้นาน

  1. การเปลี่ยนถ่ายตามสภาพน้ำมันเครื่อง

นอกจากการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะแล้วหากเครื่องยนต์ทำงานหนักต่อเนื่อง อาจต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันบ่อยขึ้น หรือหากมีการสึกหรอของระบบเครื่องยนต์ อาจส่งผลให้สภาพของน้ำมันเครื่องแสดงสภาพเสื่อมได้ไวกว่าปกติ จึงควรตรวจเช็คสภาพอยู่เสมอ

    • ตรวจสอบสีและความหนืดของน้ำมันหลังการใช้งานต่อเนื่อง
    • ตรวจสอบกลิ่นไม่พึงประสงค์หรือกลิ่นไหม้ระหว่างเครื่องทำงาน
    • ตรวจสอบไส้กรองน้ำมันเครื่อง (Lube Filter) หากไม่เปลี่ยนไส้กรองเป็นเวลานาน อาจทำให้มีตะกอนหรือสิ่งสกปรกสะสมในน้ำมันเครื่อง
    • สังเกตการทำงานของเครื่องยนต์ หากระหว่างทำงานเสียงดังขึ้นหรืออุณหภูมิสูงขึ้น อาจเกิดจากการเสื่อมสภาพของน้ำมันหล่อลื่น

น้ำมันหล่อลื่นทำหน้าที่ลดแรงเสียดทานระหว่างชิ้นส่วนที่เคลื่อนที่ หากน้ำมันเสื่อมสภาพจะสูญเสียความสามารถในการหล่อลื่น ส่งผลให้เกิดการเสียดสีและสึกหรอของชิ้นส่วน เช่น ลูกสูบ ก้านสูบ แบริ่ง และกระบอกสูบ การเปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่นตามกำหนดช่วยยืดอายุเครื่องยนต์ ลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการเสื่อมสภาพของน้ำมัน

หากไม่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะเวลาหรือตามสภาพ อาจส่งผลเสียร้ายแรงได้มากมายต่อระบบเครื่องยนต์เช่น

  • อายุการใช้งานของเครื่องยนต์ลดลง เสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายรุนแรงจนต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนหรือเครื่องยนต์
  • การสะสมของคราบเขม่าและสิ่งสกปรก น้ำมันหล่อลื่นที่ไม่ได้เปลี่ยนจะสูญเสียความสามารถในการชะล้างเขม่าและตะกอนที่เกิดจากการเผาไหม้ ทำให้คราบเขม่าและสิ่งสกปรกสะสมภายในเครื่องยนต์ มีตะกอนอุดตันในระบบ ประสิทธิภาพการทำงานลดลง และแรงดันในระบบเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้น้ำมันหล่อลื่นเกิดการรั่วซึม
  • การอุดตันของไส้กรองน้ำมันเครื่อง น้ำมันหล่อลื่นที่สกปรกจะทำให้ไส้กรองน้ำมันเครื่อง (Lube Filter) อุดตันเร็วขึ้น ซึ่งส่งผลให้ระบบน้ำมันไม่สามารถไหลเวียนได้ดี ทำให้ ชิ้นส่วนเครื่องยนต์ขาดการหล่อลื่น เพิ่มความเสี่ยงต่อความเสียหายของเครื่องยนต์
  • การเพิ่มอุณหภูมิในเครื่องยนต์ น้ำมันหล่อลื่นช่วยระบายความร้อนจากชิ้นส่วนเครื่องยนต์ หากน้ำมันเสื่อมสภาพ จะลดประสิทธิภาพในการถ่ายเทความร้อน อาจทำให้เกิดการบิดเบี้ยวของชิ้นส่วนโลหะหรือการไหม้เสียหายของปะเก็น
  • การกัดกร่อนและสนิม น้ำมันหล่อลื่นที่ใช้งานนานเกินไปมักปนเปื้อนด้วยความชื้นและสารปนเปื้อนอื่นๆ ซึ่งสามารถทำให้เกิดการกัดกร่อนและสนิมภายในเครื่องยนต์ ลดความทนทานของชิ้นส่วนโลหะ เพิ่มความเสี่ยงที่เครื่องยนต์จะทำงานผิดปกติ
  • การสูญเสียกำลังเครื่องยนต์ น้ำมันที่เสื่อมสภาพไม่สามารถลดแรงเสียดทานและหล่อลื่นเครื่องยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น ลดกำลังและสมรรถนะโดยรวมของเครื่องยนต์
  • ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเพิ่มขึ้น เมื่อปล่อยให้น้ำมันเสื่อมสภาพจนเกิดความเสียหายต่อเครื่องยนต์ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมมักจะสูงกว่าการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน ทำให้ต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนที่สึกหรอ เช่น ลูกสูบ แบริ่ง หรือกระบอกสูบ
  • ความล้มเหลวของเครื่องยนต์ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ในเครื่องยนต์สำคัญ เช่น เครื่องยนต์สูบน้ำดับเพลิงหรือเครื่องกำเนิดไฟฟ้า การไม่เปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่นอาจนำไปสู่ความล้มเหลวเมื่อเครื่องยนต์ต้องทำงานในสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นความเสียหายทางทรัพย์สินหรืออันตรายต่อชีวิตที่ไม่สามารถประเมิณค่าได้ ในกรณีที่เครื่องยนต์ไม่สามารถทำงานได้ในสภาวะฉุกเฉิน

 

จะเห็นได้ว่าน้ำมันเครื่องเป็นหัวใจสำคัญของการบำรุงรักษาเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน

หากไม่รีบแก้ไขอาจต้องเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ทั้งหมดเนื่องจากการสึกหรอของชิ้นส่วน จะลามไปยังอุปกรณ์ข้างเคียง และทำให้เกิดการเสียหายรุนแรง ทาง Engineering 1986 จึงเลือกใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องคุณภาพสูง ที่เหมาะสมต่อการใช้งานในเครื่องยนต์ Fire Pump และ Generator สำหรับลูกค้าที่ใช้บริการซ่อมบำรุงกับเรา

น้ำมันเครื่อง Rich Lube Synthetic 15W-40 สำหรับเครื่องยนต์ Diesel Heavy Duty

น้ำมันเครื่อง Rich Lube Synthetic 15W-40 เป็นน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์คุณภาพสูงสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล รองรับการใช้งานที่มีความหนักหน่วง ภายใต้สภาวะการทำงานต่อเนื่อง เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ Fire Pump เครื่องยนต์ Generator รถบรรทุกใช้งานหนัก รวมถึงเครื่องจักร Heavy Duty ได้รับการรับรองจากกรมธุรกิจพลังงาน มีมาตรฐาน API CI-4/SL และ ACEA E7-16

คุณสมบัติ

  • เหมาะกับสภาพอากาศร้อนของประเทศไทย
  • ช่วยรักษาความสะอาดภายในเครื่องยนต์
  • ประหยัดน้ำมัน
  • ลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา
  • เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์
  • คงความหนืดได้ดีแม้ในอุณหภูมิสูง
  • ความเสถียรในระยะเวลาที่ไม่ได้ใช้งาน (Idle Stability)

 

ติดต่อ Engineering 1986 วิศวกรผู้ได้รับการรับรองจากสภาวิศวกร ตรวจสอบงานไฟฟ้า ให้บริการงานซ่อมบำรุงเครื่องยนต์สูบน้ำดับเพลิง Fire Pump ซ่อมบำรุงเครื่องกำเนิดไฟฟ้า

🔸 บริการงานแก้ไข ซ่อมบำรุง เครื่องกำเนิดไฟฟ้า เครื่องสูบน้ำดับเพลิง รับ Maintenance Generator/Fire Pump ต่อครั้ง/รายปี จากทีมงานมืออาชีพ พร้อมแก้ไขทุกปัญหาของระบบ

🔹 พร้อมบริการ 24 ชั่วโมง ให้คำปรึกษา Hotline แก้ไข และนัดประชุมกับลูกค้า สรุปแนะนำแนวทางแก้ปัญหาและรายงานผลการดำเนินการ

🔹 มี QR CODE โปรแกรมแจ้งแผนงานซ่อมบำรุง สามารถตรวจสอบประวัติการซ่อมบำรุงได้จากหน้าเครื่อง ไม่ต้องวุ่นวายหาเอกสาร

🔹

👨🏻‍🔧 ใช้น้ำมันหล่อลื่นคุณภาพสูงและเหมาะสมต่อกับใช้งาน ให้ Engineering 1986 ดูแลเครื่องยนต์ของคุณ

24 Hours Hotline ‼️

สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ปรึกษางานบริการหรือสินค้าอื่น ๆ ได้ที่ 👇🏻

👩🏻‍🔧ฝ่ายขาย

☎️ Tel : 02-159-9477

☎️ Tel : 065-440-4513

📧 E-mail : sales@engineering1986.com

📧 E-mail : manager@engineering1986.com

👨🏻‍🔧ฝ่ายวิศวกรรม

🟢Line : @engineering1986 หรือ https://lin.ee/thW3g86

☎️ Tel : 02-159-9477

☎️ Tel : 063-072-9452