Engineering1986 > สาระความรู้ > การคำนวณออกแบบท่อลม หาขนาดท่อลม เพื่อระบบระบายห้องเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Ventilation System)
ในงานระบบปรับอากาศ HVAC (Heating, Ventilation, and Air Conditioning)หมายถึง ระบบทำความร้อน การระบายอากาศ และการปรับอากาศ การออกแบบท่อลม (Duct Design) เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลต่อ ประสิทธิภาพการไหลของอากาศ รวมถึง การประหยัดพลังงาน และ การลดความสูญเสียแรงดัน การออกแบบที่เหมาะสมต้องอาศัยหลักวิศวกรรม เช่น การคำนวณขนาดท่อลม, อัตราการไหลของอากาศ, ความเร็วลม และแรงดันสูญเสีย เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
Engineering 1986 เป็นผู้ให้บริการตรวจสอบและซ่อมบำรุงเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เป็นอุปกรณ์ที่มีบทบาทสำคัญในการให้พลังงานสำรองในโรงงาน อาคารสำนักงาน และสถานที่ที่ต้องการแหล่งพลังงานสำรองเมื่อเกิดไฟฟ้าดับ อย่างไรก็ตาม หนึ่งในปัจจัยที่มักถูกมองข้ามคือ ระบบระบายอากาศ ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นต่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า หากไม่มีการออกแบบระบบระบายอากาศที่เหมาะสม อุณหภูมิภายในห้องเครื่องอาจสูงเกินไป ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของเครื่องยนต์และอาจทำให้เครื่องเกิดความเสียหายได้
เพื่อให้ระบบระบายอากาศของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าทำงานได้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องอ้างอิง มาตรฐานการติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของสภาวิศวกร ซึ่งกำหนดแนวทางในการออกแบบและติดตั้งระบบระบายอากาศอย่างเป็นระบบ บทความนี้จะอธิบายเกี่ยวกับหลักการทำงานของระบบระบายอากาศ การออกแบบที่ถูกต้อง และแนวทางการบำรุงรักษาที่เกี่ยวข้อง
ท่อลม (Duct) คืออะไร? การออกแบบท่อลมและวิธีคำนวณท่อลม
ท่อลม (Duct) คือ ระบบท่อที่ใช้ในการลำเลียงอากาศ ในระบบ HVAC (Heating, Ventilation, and Air Conditioning) หรือระบบทำความร้อน การระบายอากาศ และปรับอากาศ โดยท่อลมทำหน้าที่ ส่งอากาศเย็นหรืออากาศร้อน จากเครื่องปรับอากาศหรือเครื่องระบายอากาศไปยังพื้นที่ที่ต้องการ นอกจากนี้ยังใช้สำหรับ ระบายอากาศเสีย ควัน หรือฝุ่น ออกจากอาคารเพื่อให้คุณภาพอากาศดีขึ้น ท่อลมสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามรูปร่าง วัสดุ และลักษณะการใช้งาน
ในเชิงวิศวกรรมที่ใช้อยู่จะมีวิธีคำนวณท่อลม อยู่ 3 วิธีดังนี้
- Velocity Reduction Method เป็นการออกแบบ โดยเลือกความเร็วเริ่มต้นก่อนที่ Fan Discharge แล้วลดความเร็วลมลงไปขณะที่ท่อลมได้ส่งลม ออกไปยังหัวจ่ายจุดต่างๆ โดยควรกำหนดความเร็วลมที่จุดแรกตามค่าแนะนำ
- Equal Friction Method วิธีนี้เป็นการกำหนดให้มีค่า friction loss ต่อความยาวเท่ากันตลอดทั้งระบบ เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมกว่าแบบแรกออกแบบได้ทั้งท่อลมส่ง ท่อลมกลับ ท่ออากาศเติม fresh air ทำโดยเลือกความเร็วลมเริ่มต้นในท่อหลักซึ่งอยู่ ใกล้พัดลมมากที่สุด โดยเปิดค่าที่เหมาะสมจากตารางแนะนำ นำค่าความเร็วลมเริ่มแรกและปริมาณ ลม ไปคำนวณหาค่า Friction Rate แล้วนำค่าไปใช้ทั้งระบบ
- Static Regain Method เหมาะกับท่อลม ความเร็วสูง (สูงกว่า 2000 fpm) หลักการง่ายๆ คือ เลือก ขนาดท่อลมให้ได้ Regain อันเนื่องมาจากการลดความเร็วลม ลง ณ แต่ละส่วนที่มีการแยกของท่อลม หักล้างพอดีกับ Friction Loss ที่จะเกิดในท่อลมส่วนถัดมา ดังนั้น Static Pressure จึงคงเท่าเดิมกับก่อนที่มีการแยกท่อ วิธีการทำจะทำ ได้โดยเลือกความเร็วเริ่มต้นแรกที่ พัดลม จากนั้นเลือกขนาดท่อลม แรก สำหรับขนาดท่อลมส่วนที่เหลือทำโดยใช้แผนภูมิ L/Q Ratio และแผนภูมิ Low Velocity Static regain
ตัวอย่างแผนผังการติดตั้งระบบท่อลม (Duct System) ซึ่งมักใช้ในระบบระบายอากาศ (Ventilation), ระบบปรับอากาศ (HVAC), หรือระบบระบายความร้อนของเครื่องจักร เช่น เครื่องกำเนิดไฟฟ้า หรือ โรงงานอุตสาหกรรม
Duct Friction Loss Chart ตารางสำหรับคำนวณ การสูญเสียความดันเนื่องจากแรงเสียดทานภายในท่อส่งลม (Duct) ตามมาตรฐานของ ASHRAE กรณีที่ใช้ท่อเหล็กชุบสังกะสี (Galvanized Steel Ducts)
ประเภทของท่อลมและข้อต่อสำหรับการออกแบบติดตั้งมีอะไรบ้าง ?
ในระบบ HVAC (Heating, Ventilation, and Air Conditioning) “Duct Fittings” หรือ ข้อต่อท่อลม เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ใช้ในการเปลี่ยนทิศทาง เชื่อมต่อ หรือปรับขนาดของท่อ เพื่อให้การไหลของอากาศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้
- Rectangular Duct Fittings (ข้อต่อท่อลมสี่เหลี่ยม)
เป็นท่อที่มีหน้าตัดเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า มักทำจากแผ่นเหล็กชุบสังกะสี สแตนเลส หรืออลูมิเนียมใช้กันอย่างแพร่หลายในอาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า และโรงงาน เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีข้อจำกัดด้านความสูง เช่น อาคารที่ต้องติดตั้งท่อในฝ้าเพดานหรือผนัง
ข้อดี:
- ติดตั้งง่าย สามารถวางแนบไปกับเพดานหรือติดกับผนังได้
- ผลิตง่าย และสามารถปรับขนาดตามพื้นที่ติดตั้ง
- เชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมได้ง่าย เช่น แดมเปอร์ ตัวเก็บเสียง หรือฉนวน
ข้อเสีย:
- แรงดันสูญเสียสูง เนื่องจากมีมุมที่ทำให้เกิดแรงต้านอากาศ
- ใช้พื้นที่มากกว่าท่อกลม เนื่องจากต้องมีโครงสร้างรองรับ
ข้อต่อท่อลม (Fittings) ที่นิยมใช้
- Elbow: ข้องอสำหรับเปลี่ยนทิศทาง
- Transition: ใช้เปลี่ยนขนาดของท่อ
- Splitter Damper: ตัวปรับทิศทางการไหลของอากาศ
- Round Duct Fittings (ข้อต่อท่อลมทรงกลม)
เป็นท่อที่มีหน้าตัดเป็นวงกลม มักทำจากแผ่นโลหะ เช่น เหล็กชุบสังกะสีหรือสแตนเลส นิยมใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมและพื้นที่ที่ต้องการลดแรงดันสูญเสีย เหมาะสำหรับระบบที่ต้องการลดแรงดันสูญเสีย เช่น ระบบระบายอากาศในโรงงาน หรือระบบปรับอากาศที่ต้องการความคุ้มค่าด้านพลังงาน
ข้อดี:
- มีแรงต้านอากาศต่ำ ทำให้ประหยัดพลังงาน
- ไม่มีมุมแหลม ลดการสะสมของฝุ่นและสิ่งสกปรก
- แข็งแรงกว่าท่อสี่เหลี่ยม ในขนาดที่เท่ากัน
ข้อเสีย:
- ติดตั้งยากกว่า เนื่องจากต้องใช้ข้อต่อและอุปกรณ์เสริมมากขึ้น
- ใช้พื้นที่แนวตั้งมากกว่า ทำให้ติดตั้งในบางพื้นที่ได้ยาก
ข้อต่อท่อลม (Fittings) ที่นิยมใช้
- 90° Elbow: ใช้เปลี่ยนทิศทางลม
- Reducer: ใช้เปลี่ยนขนาดของท่อ
- Tee & Wye: ใช้แยกท่ออากาศ
- Flat Oval Duct Fittings (ข้อต่อท่อลมรูปวงรีแบน)
เป็นท่อที่มีหน้าตัดเป็นวงรี มีคุณสมบัติผสมระหว่าง ท่อกลม และ ท่อสี่เหลี่ยม ใช้ในระบบที่ต้องการลดแรงต้านอากาศแต่ยังมีข้อจำกัดด้านพื้นที่
ข้อดี:
- แรงดันสูญเสียน้อยกว่าท่อสี่เหลี่ยม
- ใช้พื้นที่น้อยกว่าท่อกลม ในแนวตั้ง
- เหมาะสำหรับระบบที่ต้องการความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและการประหยัดพื้นที่
ข้อเสีย:
- ผลิตและติดตั้งยากกว่า ท่อกลมหรือท่อสี่เหลี่ยม
- ต้องใช้ข้อต่อเฉพาะทาง ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนสูงขึ้น
ข้อต่อท่อลม (Fittings) ที่นิยมใช้
- Elbow: เปลี่ยนทิศทางลม
- Transition: ปรับขนาดท่อ
- Splitter: แยกท่ออากาศ
ตารางเปรียบเทียบวิธีเลือกใช้ท่อแต่ละประเภท
ประเภทท่อ | ข้อดี | ข้อเสีย | เหมาะกับการใช้งาน |
Rectangular Duct | ติดตั้งง่าย ใช้ในพื้นที่จำกัด | แรงดันสูญเสียสูง ใช้พื้นที่เยอะ | อาคารที่มีข้อจำกัดด้านความสูง เช่น สำนักงาน หรือห้างสรรพสินค้า |
Round Duct | แรงดันสูญเสียน้อย ประหยัดพลังงาน | ใช้พื้นที่มากกว่า ติดตั้งยาก | โรงงานอุตสาหกรรม หรือระบบที่ต้องการการไหลของอากาศที่ดี |
Flat Oval Duct | ประสิทธิภาพดี ลดแรงดันสูญเสีย | ต้นทุนสูง ติดตั้งยาก | อาคารที่ต้องการประหยัดพื้นที่และรักษาประสิทธิภาพการไหลของอากาศ |
ตารางขนาดท่อลม แปลงขนาดของท่อสี่เหลี่ยมเทียบกับท่อกลม
ความสำคัญของระบบระบายอากาศ (Ventilation System) ในห้องเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสันดาปภายในทำงานโดยใช้เชื้อเพลิง เช่น ดีเซลหรือก๊าซธรรมชาติ ซึ่งก่อให้เกิดความร้อนสูงระหว่างการทำงาน การจัดการความร้อนจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและอายุการใช้งานของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ระบบระบายอากาศที่ออกแบบมาอย่างเหมาะสมมีหน้าที่สำคัญ ดังนี้
- ป้องกันอุณหภูมิสูงเกินไป – การสะสมของความร้อนภายในห้องเครื่องอาจทำให้เครื่องยนต์ทำงานผิดปกติหรือลดประสิทธิภาพลง
- ลดความเสี่ยงจากไอเสียและก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ – เครื่องกำเนิดไฟฟ้าปล่อยไอเสียที่ต้องถูกระบายออกอย่างเหมาะสม
- ช่วยให้อากาศไหลเวียนดีขึ้น – ทำให้เครื่องยนต์ได้รับอากาศบริสุทธิ์ที่เพียงพอสำหรับการเผาไหม้
- เพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า – ระบบระบายอากาศที่ดีช่วยลดการทำงานหนักของเครื่องยนต์ ทำให้ประหยัดเชื้อเพลิงและลดการสึกหรอ
หากระบบระบายอากาศ (Ventilation System) ในห้องเครื่องกำเนิดไฟฟ้ามีปัญหา อาจทำให้เกิดปัญหาต่างๆ กับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าได้ ดังนี้
- อุณหภูมิสูงเกินไป (Overheating)
- เครื่องกำเนิดไฟฟ้าจะปล่อยความร้อนออกมาระหว่างการทำงาน หากระบบระบายอากาศทำงานผิดปกติ อุณหภูมิภายในห้องเครื่องจะเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้เครื่องยนต์และอุปกรณ์ภายในเกิดความร้อนสะสม ซึ่งอาจทำให้เครื่องยนต์ร้อนจัดจนหยุดทำงาน (Shutdown) หรือเสียหายได้
- ประสิทธิภาพลดลง (Reduced Efficiency)
- เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ประสิทธิภาพของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจะลดลง โดยเฉพาะเครื่องยนต์ดีเซลที่อาจเผาไหม้เชื้อเพลิงได้ไม่สมบูรณ์ ทำให้กำลังไฟฟ้าที่ผลิตได้ลดลง และสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น
- ความเสียหายของฉนวนและสายไฟ (Insulation and Wiring Damage)
- ความร้อนที่มากเกินไปอาจทำให้ฉนวนของสายไฟและขดลวดภายในเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ เสี่ยงต่อการเกิดไฟฟ้าลัดวงจรและอาจทำให้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าเสียหายรุนแรง
- ระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ทำงานหนักเกินไป (Cooling System Overload)
- หากระบบระบายอากาศในห้องทำงานไม่ดี ระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ เช่น หม้อน้ำและพัดลมระบายความร้อน จะต้องทำงานหนักขึ้น ซึ่งอาจทำให้ชิ้นส่วนเหล่านี้เสื่อมสภาพเร็วขึ้นหรือเกิดความเสียหาย
- เกิดการสะสมของไอเสีย (Exhaust Gas Accumulation)
- หากการระบายอากาศไม่ดี ไอเสียที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงอาจสะสมภายในห้องเครื่อง ทำให้เกิดมลพิษและอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ปฏิบัติงาน
- ความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้ (Fire Hazard)
- เมื่อมีอุณหภูมิสูงและการสะสมของไอเสีย หรือเขม่าน้ำมันในพื้นที่ปิด ความเสี่ยงที่จะเกิดไฟไหม้หรือการระเบิดจะเพิ่มสูงขึ้น
แนวทางแก้ไข
- ตรวจสอบและทำความสะอาดช่องระบายอากาศ และพัดลมระบายอากาศให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
- ตรวจสอบเซนเซอร์อุณหภูมิและระบบแจ้งเตือน เพื่อป้องกันความร้อนสูงเกินไป
- ตรวจสอบระบบไอเสียและท่อระบายอากาศให้อยู่ในสภาพดี ไม่มีการอุดตัน
- ติดตั้งพัดลมหรือระบบระบายอากาศเพิ่มเติมหากจำเป็น
หากพบว่าระบบระบายอากาศมีปัญหา ควรรีบแก้ไขทันทีเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและระบบโดยรวม
มาตรฐานการออกแบบระบบระบายอากาศเครื่องกำเนิดไฟฟ้าตามข้อกำหนดของสภาวิศวกร
สภาวิศวกรกำหนดแนวทางในการออกแบบระบบระบายอากาศสำหรับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญดังนี้
- การกำหนดอัตราการไหลของอากาศที่เหมาะสม
มาตรฐานระบุว่าปริมาณอากาศที่ต้องใช้ในการระบายความร้อนของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าต้องสอดคล้องกับขนาดของเครื่องยนต์ โดยทั่วไปอัตราการไหลของอากาศ (CFM – Cubic Feet per Minute) จะขึ้นอยู่กับกำลังของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า และต้องมีการคำนวณที่ถูกต้องเพื่อให้การไหลเวียนของอากาศเป็นไปอย่างเหมาะสม
- การออกแบบท่อลมและช่องระบายอากาศ
- ช่องนำอากาศเข้า (Air Intake) ควรติดตั้งในตำแหน่งที่สามารถรับอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกได้ และต้องมีแผ่นกรองฝุ่นเพื่อป้องกันสิ่งสกปรก
- ช่องระบายอากาศออก (Exhaust Ventilation) ต้องออกแบบให้สามารถระบายอากาศร้อนออกได้โดยตรง และต้องมีท่อไอเสียที่นำก๊าซไอเสียออกจากอาคารได้อย่างปลอดภัย
- ตำแหน่งของช่องอากาศเข้าและออก ต้องถูกจัดวางให้สามารถสร้างการไหลเวียนอากาศที่มีประสิทธิภาพ ลดการเกิดภาวะอากาศร้อนหมุนเวียนภายในห้อง
- การใช้พัดลมระบายอากาศเสริม
ในบางกรณี โดยเฉพาะเมื่อห้องเครื่องกำเนิดไฟฟ้าตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีการถ่ายเทอากาศที่ดี การติดตั้ง พัดลมระบายอากาศ (Ventilation Fan) จะช่วยให้การไหลเวียนอากาศมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- การออกแบบระบบท่อไอเสียให้เหมาะสม
ท่อไอเสียต้องถูกออกแบบให้สามารถนำก๊าซที่ปล่อยออกจากเครื่องยนต์ออกจากห้องเครื่องได้อย่างรวดเร็ว และต้องเป็นวัสดุที่ทนทานต่อความร้อนสูงเพื่อลดความเสี่ยงจากอัคคีภัย
การออกแบบท่อลมและการคำนวณขนาดท่อที่เหมาะสมและการจัดวางช่องอากาศเข้าและออก ช่วยระบายอากาศของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในห้องอาคารปิดหรืออาคารสูงได้ สามารถนำมาใช้ในห้องเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการระบายความร้อน
Engineering 1986 การบำรุงรักษาเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ครอบคลุมให้ถึงระบบระบายอากาศสำหรับห้องเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เพื่อให้ระบบระบายอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ
👉🏻 บริการตรวจสอบและทำความสะอาดช่องอากาศเข้าและออก เพื่อป้องกันฝุ่นละอองอุดตัน
👉🏻 การตรวจสอบท่อไอเสีย ว่ามีการรั่วไหลหรือไม่
👉🏻 การเช็กพัดลมระบายอากาศ ให้ทำงานได้ตามปกติ
👉🏻 การตรวจสอบอุณหภูมิภายในห้องเครื่อง ว่ายังอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย
👨🏻🔧 Engineering 1986 มีความเชี่ยวชาญในการติดตั้งและซ่อมบำรุงเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ครอบคลุมการตรวจสอบระบบระบายอากาศที่มีประสิทธิภาพ ให้เหมาะสมกับห้องเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เพื่อให้ถูกต้องตามข้อกำหนดตามมาตรฐานจากสภาวิศวกร ตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบระบายอากาศภายในห้องเครื่องกำเนิดไฟฟ้า แก้ไขปัญหาเกี่ยวกับระบบไอเสียและพัดลมระบายอากาศ เพื่อลดความเสี่ยงจากความร้อนสะสมจนอาจส่งผลให้เครื่องกำเนิดไฟฟ้า
หากคุณต้องการปรึกษาเกี่ยวกับการออกแบบและบำรุงรักษาระบบเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ตรวจเช็คให้ครบวงจร วิเคราะห์ปัญหาทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกรวมถึงสภาพแวดล้อมของห้องเครื่อง ติดต่อ Engineering 1986 ได้เลย
🔹บริการตรวจสอบ ซ่อมบำรุง PM Generator ตรวจสอบสภาพเครื่อง ห้องเครื่อง บริการงานเปลี่ยนอะไหล่ Corrective Maintenance พร้อมรับประกันงานซ่อม 1 ปี ตลอดอายุสัญญางาน
🔹บริการตรวจสอบและซ่อมบำรุงเครื่องยนต์ต้นกำลัง เครื่อง ทุกรุ่น Volvo Penta , Cummins , Perkins , Mitsubishi , Catterpillar , DETROIT สำหรับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
🔹บริการ Preventive Maintenance / Annual Maintenance / Performance test Generator และ Fire Pump ตรวจสอบ อุปกรณ์ อะไหล่ทุกชิ้น รายงานและทดสอบประสิทธิภาพตามมาตรฐาน NFPA
🔹บริการ Training Free สำหรับการดูแลและตรวจสอบอะไหล่ด้วยตนเองตามรอบเองรายสัปดาห์และรายเดือน
🔹บริการสายด่วนฉุกเฉิน Hotline 24 ชั่วโมง ให้คำปรึกษาปัญหาหน้างาน ให้ลูกค้าเข้าใจปัญหาและแก้ไขได้เองเบื้องต้น โดยไม่ต้องเสียค่าบริการเพิ่มเติมเพื่อจ้างช่างเข้าไปแก้ไขหน้างาน
🔹 มี QR CODE รายงานผลการดำเนินงานให้เครื่องที่ดูแลกับเรา สามารถตรวจสอบประวัติการซ่อมบำรุงได้จากมือถือ ลดปัญหางานเอกสาร พร้อมทุกเมื่อสำหรับงาน Audit
👨🏻🔧 ดูแลเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและเครื่องสูบน้ำดับเพลิง ให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา ลดความเสี่ยงการเกิด Breakdown ในภาวะฉุกเฉิน เลือกบริการจากวิศวกรมืออาชีพ Engineering 1986 ที่ได้รับการรับรองจากสภาวิศวกร
24 Hours Hotline ‼️
สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม งานบริการหรือสินค้าอื่น ๆ ได้ที่ 👇🏻
👩🏻🔧ฝ่ายขาย
☎️ Tel : 02-159-9477
☎️ Tel : 065-440-4513
📧 E-mail : sales@engineering1986.com
📧 E-mail : manager@engineering1986.com
👨🏻🔧ฝ่ายวิศวกรรม
🟢Line : @engineering1986 หรือ https://lin.ee/thW3g86
☎️ Tel : 02-159-9477
☎️ Tel : 063-072-9452